วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทที่ 3 [เริ่มต้นการเป็นทหารเรือ ที่ ร้อย.2 พัน.1]

   กลับมาต่อกันที่บทที่ 3 ครับ หลังจากบทที่แล้วผมได้มาประจำการเป็นทหารใหม่ที่ ศฝท. หรือชื่อเต็มๆคือ "ศูนย์ฝึกทหารใหม่" หลังจากเข้ามาอยู่ ผมก็ได้รู้จักเพื่อน 1 คนที่เป็นบัดดี้กันคือ "ไอบอย"  บอยเป็นคนจังหวัดลพบุรีครับ ตัวสูงและผอมกว่าผมหน่อยพูดไม่ค่อยเก่งเหมือนกัน หลังจากคุยกันสักพักผมถือว่าผมโชคดีกว่ามันหน่อยครับ มันบอกว่ามันเอาเงินติดตัวมาแค่ 100 บาท (อนาจจิต) เหตุผลที่เอามาน้อยเพราะว่าสัสดีบอก เหมือนๆกันครับ บอกว่าที่ค่ายเขาไม่ให้ใช้เงิน แต่บอยคิดผิดถนัด ที่ว่าเป็นทหารเกณฑ์แล้วห้ามใช้เงินจริงๆผมว่าอาจจะเป็นแค่ทหารบกนะครับเห็นญาติกันที่จับได้ ทบ. บอกว่าพอไปถึงถ้ามีเงินเข้าจะเก็บหมดเลย แล้วลงบัญชีว่าเป็นเงินฝากไว้ ที่ทำแบบนั้น เขากลัวทหารจะหนีครับ แต่ทหารเรือนี่ตรงกันข้ามเลยครับ พอเลิกฝึกหลังกินข้าวเย็นตอน 5 โมงเย็น เขาจะปล่อยให้ไปซื้อของใช้ได้ที่ "แผง" พูดง่ายๆเหมือนตลาดนัดยังไงยังงั้นเลยครับ มีขายทั้งข้าว ขนม ผลไม้ ข้าวของเครื่องใช้ เกือบจะครบทุกอย่างเลยทีเดียว
   วกกลับมาที่กองร้อยเหมือนเดิมนะครับ  พอผมอยู่ที่กองร้อยหลังจากเก็บของเสร็จ ก็ได้รู้จักเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกหลายคน มีทั้งจากจังหวัดเดียวกัน หรือ จากจังหวัดอื่นๆ รวมๆแล้วเกือบ 10 คน ผมก็เริ่มอุ่นใจขึ้นหน่อยครับมีเพื่อนแล้ว ไม่เหงา วันแรกไม่ได้ทำอะไรครับ เพราะว่าส่วนหนึ่ง คนยังมาจากจังหวัดต่างๆไม่ครบด้วยครับ ส่วนใหญ่พวกที่มาจากภาคใต้จะยังมากันไม่ถึง เพราะต้องเดินทางด้วยรถไฟ ทางกองร้อยจึงยังไม่ได้ให้ทำอะไรมากครับ แต่ก็ได้มีการชี้แจงว่าห้ามออกนอกบริเวณกองร้อย จะให้ไปไหนได้ครับ รอบๆมีแต่ป่าแต่เขา ออกไปมีหลงแน่นอน
  หลังจากนั้น 2 วันเมื่อทหารที่จะมาประจำการในกองร้อยมากันครบแล้ว ในกองร้อยผม มีคนทั้งหมดประมาณ 150 กว่าคนครับ มี 3 หมวด ก็หมวดละ 50 คนได้ ซึ่งจากทหารทั้งหมด จะมีมาจากภาคใต้เยอะที่สุดครับ ประมาณ 40% รองลงมาก็ภาคอีสานครับประมาณ 30% ที่เหลือก็ภาคกลางและภาคตะวันตกกับตะวันออกเฉลี่ยๆกัน ซึ่งการที่มีเด็กใต้เยอะที่สุด และสังเกตุดู คนภาคนี้จะอยู่รวมกลุ่มกันหมดเลยครับ ยกเว้นพวกที่นับถือ ศาสนาอิสลาม พวกนี้จะแยกรวมกันเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นในกองร้อยผม หรืออาจจะทุกกองร้อยก็ว่าได้ เด็กใต้จะเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดครับ แต่พวกนี้ก็ไม่ได้วางตัวเป็นอันธพาลในกองร้อยนะครับ อย่างน้อยในกองร้อยผมก็ไม่ใช่น่ะครับ พวกนี้จะตั้งวงสรวลเสเฮฮากันไปตามเรื่อง กับภาคอื่นๆก็ทำความรู้จักกันเป็นเสต็ปๆไปครับ เพราะแต่ละหมวดจะรวมกันหลายๆภาคครับ ดังนั้นในระดับที่จะสนิทกันต่อไปคือ พวกที่อยู่ในหมวดเดียวกัน เพราะว่าในตอนฝึกจะแยกฝึกเป็นหมวดๆครับ ทำให้รู้จักกันมากขึ้นครับ จนใกล้ๆจะครบสองเดือนนี้ แทบจะรู้จักกันทั้งกองร้อย
  เมื่อแยกหมวด ครบหมดแล้ว การฝึกก็ได้เริ่มขึ้น โดยในเดือนแรกเขาจะให้ฝึก "บุคคลท่ามือเปล่า" เดือนที่สอง จะฝึก "บุคคลท่าอาวุธ" โดยการฝึกจะแบ่งเป็นฝึกบุคคลท่ามือเปล่าครึ่งวัน และอีกครึ่งวันจะเป็นการเรียนภาคทฤษฎี ก็เรียนพวก การผูกเงื่อน การดับเพลิง การกรรเชียงเรือ วินัยของทหารเรือ ฯลฯ โดยที่ ถ้าวันไหนตอนเช้าฝึกบุคคลท่าอาวุธ ในตอนบ่ายก็จะเป็นการเรียนภาคทฤษฎี เขาจะมีเป็นคล้ายๆตารางสอนให้จดไว้ครับ ว่าวันนี้จะเรียนอะไรบ้าง โดยรวมๆแล้วระยะเวลาเรียน 2 เดือน ไม่ได้รู้อะไรมากหรอกครับ อาจจะรู้แค่พื้นฐาน แค่ให้ปฏิบัติตัวกันได้
   ในการฝึก บุคคลท่ามือเปล่าในเดือนแรก ก็คือฝึกพวก แถวตรง ตามระเบียบพัก ซ้ายหัน ขวาหัน พวกนี้แหละครับแต่จะมีเพิ่มเติมอีก ตรงพวก หมู่แถวชิด การรายงานตัว การรายงานยาม ซึ่งก็ฝึกได้เกือบหมดทุกคนนั่นแหละครับ การฝึกพวกนี้ ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่หรอกครับ แต่มันร้อนมากกว่าครับ ผมก็งงๆเหมือนกันนะ อากาศในเดือน กุมภา น่าจะเป็นปลายๆของฤดูหนาว แต่มันหนาวแค่ตอนเช้า พอเริ่มสายๆนี่ เหงื่อไหลเหมือนน้ำเลยครับ แล้วยิ่งกองร้อยผมอยู่บนเนินเขาด้วย เหมือนพระอาทิตย์มันเข้ามาใกล้ึขึ้นอีกหน่อยเลยเหมือนมีความรู้สึกว่าร้อนมากกว่าปกติอีกครับ ไม่รู้คิดไปเองรึป่าว
  ในแต่ละหมวด ตอนฝึกนั้น จะมีจ่าออกมาฝึกให้ หมวดละ 1 คน ซึ่งลีลาการสอนก็จะแตกต่างกันออกไปตามนิสัยใจคอของจ่าแต่ละคนครับ ในหมวดของผม จ่าที่มาฝึกให้ เขาจะนิ่งๆครับ พูดน้อยๆ แต่ทุบหนักเหลือเกิน เคยไ้ด้ยินคนพูดกันมาเหมือนกันครับ ว่าฝึกทหารต้องเจอ มือกับเท้า นั่นน่าจะเป็นสมัยก่อนนะครับเพราะตอนที่ผมไปเป็นทหาร เขาไ่ม่ค่อยลงไม้ลงมือกันแล้วครับแต่ก็ไม่ทั้งหมดหรอกครับ อย่างที่ผมได้เคยกล่าวไว้บทก่อนๆ ว่ากองร้อยผม อยู่ตรงข้ามกับ ร้อย 6 พัน 1 ซึ่งเมื่อเวลาฝึกจะมองเห็นกันครับ  เมื่อผมได้เห็น ร้อย 6 ฝึกกันแล้ว ผมนึกดีใจจริงๆครับที่ได้อยู่ ร้อย 2 เพราะจ่าที่อยู่ร้อย 6 แต่ละคนนั้น เฮี๊ยบๆเกือบทุกคนเลยครับ ตอนผมฝึกๆอยู่จะได้ยินเสียงทุบ หรือเสียงเตะ ดังมาจากทางร้อย 6 อยู่บ่อยๆ ซึ่งจ่าที่ฝึกหมวดผม ยังเคยพูดเปรยๆว่า ถ้าพวกเอ็งฝึกกันไม่ได้เรื่อง แกจะใช้ระบบแบบนั้นมั่ง บางคนอาจจะคิดว่าแกแค่ขู่ แต่ผมรู้ในใจว่าแกทำได้แน่นอน ซึ่งบางครั้งจ่าแกก็จะมีลงไม้ลงมือมั่งครับ แต่ไม่หนักหนาอะไรมาก เอาแค่ให้รู้สึกตัว เพราะบางคนตอนฝึกเหนื่อยๆ อารมณ์มันจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผมก็เคยเป็น ฝึกๆอยู่คิดเรื่องอื่นซะงั้น พอจ่าเขาออกคำสั่งให้ทำอะไรก็ไม่ได้ทำ จ่าแกก็จะเตือนด้วยฝ่ามือเบาๆดังตุบ แล้วก็บอกว่าฝึกอยู่ ใจลอยไปไหน ถ้าบางคนหลุดบ่อยจนเข้าตาจ่าแก ก็อาจจะมีใช้เท้าสะกิดก้นสักป๊าบ สองป๊าบ ไม่ได้เตะให้เจ็บหรอกครับ เอาแค่ให้รู้สึกตัว ถ้าเป็นตอนเช้า หลังจากฝึกเสร็จก็จะให้พักผ่อนสัก 10 นาทีครับ  ลืมบอกไปครับ เขาจะไม่ฝึกยาว ตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงเที่ยงเลยนะครับ จะฝึกประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วก็จะให้พักประมาณ 15 นาที แล้วก็ฝึกต่อ จนถึงเวลาพัก ก็ไปกินข้าวที่โรงเลี้ยงครับ  โดยคนที่พาแถวทหารใหม่ไปกินข้าวก็คือ "จ่าเวร" ครับ จ่าเวรก็คือ พวกจ่า พวกหมวดในกองร้อยนี่แหละครับ โดยในแต่ละวันเขาจะผลัดกันเข้าเวร คนละ1 วัน โดยเริ่มเข้าตอน 8 โมงเช้า แล้วไปออกเวรอีกทีตอน 8 โมงเช้าของอีกวัน ในขณะที่พาแถวไปกินข้าวที่โรงเลี้ยง ซึ่งอยู่ห่างจากกองร้อยประมาณ 500 เมตร จ่าเวร ก็จะให้ร้องเพลงเข้ากับจังหวะการก้าวเท้า เพลงที่ร้องก็จะเป็นเพลงเกี่ยวกับทหารเรือนี่แหละครับ ไม่ใช่พวกเพลงสตริง หรือเพลงลูกทุ่งนะครับ เมื่อไปถึงโรงเลี้ยงก็จะให้วิ่งเข้าโรงเลี้ยงทีละแถว แต่ถ้าวันไหนรีบๆก็ให้วิ่งเข้าไปหมดเลยครับ เข้าไปนั่งตรงไหนก็ได้ครับ เขาไม่ได้ฟิกไว้ ในตอนแรกผมคิดว่าเป็นทหารต้องกินแบบมีระเบียบแต่ที่ไหนได้ก็กินกันแบบปกตินี่แหละครับ เพียงแต่ห้ามคุยกันเสียงดัง ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันไม่เห็นจะลำบากตรงไหนเลยการเป็นทหาร แต่ผมไม่ได้คิดถูกทั้งหมดนะครับ เดี๋ยวผมจะกล่าวให้ฟังในภายภาคหน้าครับ
    บทนี้เริ่มยาวแล้ว กลัวจะตาลายกัน ผมขอจบบทนี้ไว้เท่านี้ก่อนดีกว่าครับเดี๋ยวมาอ่านกันต่อว่าชีวิตของทหารเกณฑ์ของผมที่ ร้อย.2 พัน.1 ที่ ศูนย์ฝึกทหารใหม่จะเป็นอย่างไรต่อไป ในบทนี้ ขอลาไปเพียงเท่านี้ครับ

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทที่ 2 [ก้าวแรกในการเป็นทหารเรือ ที่ ศฝท.]

  สวัสดีครับ ต่อจากบทที่ 1 ในบทนี้คือ วันแรกที่ผมได้ไปเป็นทหารเรือครับ  เมื่อถึงวันที่ 1 ก.พ. 50 ผมก็ไปรายงานตัว ที่ ที่ว่าการอำเภอ เขาจะมีรถรับไปรวมตัวกันในตัวจังหวัด ในวันนั้นมีคนที่ไปเป็นทหารเรือในอำเภอผมทั้งหมด ประมาณ 15 คนได้ครับ แรกๆผมคิดว่าไปกันแค่นี้เอง คงจะได้อยู่ที่เดียวกันหมดแหละมั้ง  และในนั้นต้องขอบอกว่าไม่รู้จักใครสักคนครับ แต่มีอยู่คนหนึ่งผมจำหน้าตาได้เพราะว่าเคยเห็นในโรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนตอนมัธยมครับ แต่ว่าไม่ได้รู้จักชื่อหรอกครับ ส่วนตัวเขาก็ไม่ได้รู้จักผมเช่นกัน แต่ว่าคนนี้จะสนิทกับผมหลังจากนี้อีก 4 เดือนครับไว้ถึงตอนนั้นจะเล่าให้ฟังครับ 
   เมื่อมาถึงตัวจังหวัด ก็มีรถบัสรอรับอยู่ 2 คัน ที่นี่คนทุึกอำเภอจากจังหวัดของผมมารวมกัน ก็เริ่มเยอะครับ สองร้อยกว่าคน พอมากันครบทุกอำเภอแล้ว เขาก็ให้นั่งเป็นแถวๆ ฟังใครก็ไม่รู้แต่งชุดทหารบกพูด เขาก็พูดประมาณให้กำลังใจ ว่าเป็นทหารสบายยังงั้น ยังงี้  เงินเดือนรับรวมๆแล้วเกือบหมื่น ส่วนเรื่องเงินทองไม่ต้องพกไปหรอกที่ค่ายเขาไม่ให้ใช้ แต่ไม่ต้องกลัวกินอิ่มนอนหลับทุกมื้อ (จำที่ตาคนนี้พูดไว้ให้ดีนะครับ แล้วค่อยเปรียบกับที่ผมจะพูดๆในตอนต่อไป) เมื่อเขาพูดและชี้แจงเสร็จสรรพแล้วก็ให้ขึ้นรถบัสครับ ใครจะนั่งตรงไหนก็ได้ไม่บังคับกัน ก่อนขึ้นรถเขาให้เงินติดตัวกันคนละ 100 บาท
    วันนั้นผมแต่งตัวไปแบบธรรมดาสุดๆครับ กางเกงขาสั้น เสื้อยืดตราห่าน เพราะในใจคิดว่าพอไปถึงที่ค่ายเขาคงไม่ให้เราใส่ชุดพลเรือนอยู่แล้ว พร้อมกับมีเงินติดตัวไป 500 บาท ( 400 เป็นเงินของผมเอง อีก100 เขาแจกมา ) อยู่บนรถผมก็ไม่ได้คุยกับใครครับแต่แปลกใจบ้างคนอาจจะมาจากตำบลหรืออำเภอเดียวกัน แต่ทำไมเห็นคุยกันเหมือนเป็นเพื่อนสนิทสนมกันมาเลย ผมคิดในใจมันนัดกันสมัครมาป่าวฟ่ะ แล้วบางคนนี้กำลังใจดีสุดๆ ซื้อเหล้าขึ้นมากินกันเหมือนไม่มีความกังวลใจใดๆทั้งสิ้น นั่งรถออกมาจากจังหวัดผมตอนประมาณ 10 โมงเช้า ประมาณ บ่าย 2 โมง ก็มาถึงที่ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จังหวัดชลบุรี ก่อนออกมาผมยังไม่รู้เลยว่าจะต้องไปที่จังหวัดไหน แต่รู้อยู่ในใจแหละว่าเป็นทหารเรือต้องเป็นจังหวัดที่อยู่ติดทะเลแน่นอน ที่ๆผมไป เขาเรียกว่า "ศูนย์ฝึกทหารใหม่" ครับ ที่นี่กว้างใหญ่เหมือนกันครับ เพราะว่าทหารเรือในแต่ละผลัดนั้น จะต้องมาฝึกที่นี่ก่อนเป็นเวลา 2 เดือน ก่อนจะแยกไปปฏิบัติหน้าที่ตามหน่วยต่างๆของกองทัพเรือที่อยู่ทั่วประเทศ เมื่อลงจากรถ เขาก็ให้ตั้งแถวไว้ แล้วก็มีสุนัขมาดมๆ เพื่อจะหายาเสพย์ติดที่บางคนอาจจะพกมาด้วย ถ้าเจอก็ไม่ได้จับหรืออะไรหรอกครับแค่ยึดไว้ เสร็จแล้วเขาก็จะให้นั่งรอเป็นจังหวัดๆ ในตอนนี้คนที่อยู่ที่นี่รวมกันจากทั่วประเทศ จากเกือบทุกจังหวัด ( ยกเว้นภาคเหนือ ) เริ่มดูเยอะแล้วครับ ประมาณ 1000 กว่าคนได้ เมื่อนั่งรอได้สักพักก็ถึงจังหวัดผม เขาก็จะเรียกเข้าไปในหอประชุม รอบๆตัวหอประชุมจะมีทั้งหมด 25 แถวเป็นรูปตัว U ครับ เพราะว่าต้องแยกออกเป็น 25 กองร้อย มีทั้งหมด 4 กองพันครับ กองพันละ 6 กองร้อย และมี "ร้อยเตรียม" อีก 1 กองร้อย ร้อยเตรียมก็คือ เขาจะแยกคนนี้ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้มารวมไว้ด้วยกัน พวกนี้จะได้เรียนการอ่านและเขียนหนังสือในเบื้องต้นไปด้วย  ส่วนมากพวกที่อยู่ร้อยเตรียมจะเป็น พวกที่นับถือศาสนาอิสลามและพวกที่ไม่ได้เรียนหนังสือมาเลย ส่วนตัวผมเองนั้น ได้ไปสังกัดอยู่ที่ ร้อย 2 พัน 1 ครับ ก่อนออกมา เขาฉีดยาให้ 1 เข็มผมเห็นบางคนตัวใหญ่กว่าผมอีก พอฉีดยาให้เสร็จล้มลงไปเลย ตอนนั้นไม่รู้จริงๆว่าเขาฉีดอะไรให้ เพิ่งมารู้เอาตอนหลังว่าเป็น "ทอกซอยด์ " ฉีดเพื่อกันบาดทะยักนั่นเอง หลังจากที่เขาแยกคนไปอยู่ตามกองร้อยต่างๆมากพอแล้ว เขาก็จะให้ทหารที่เป็นรุ่นพี่ พาเดินแถวกลับไปยังกองร้อย รุ่นพี่ที่พาไปกองร้อย ผมเห็นที่แรกนึกขำในใจมากครับ เพราะแต่งตัวแล้วเหมือนเด็กเรียนมัธยม คือ ใส่หมวกสีน้ำตาล เสื้อน็อต คือเสื้อที่ทำมาจากผ้าดิบ คอกลม และใส่กางเกงสีน้ำตาล รองเท้าผ้าใบ เหมือนเด็กมัธยมไหมล่ะครับ แถมตัดผมก็ทรงนักเรียนอีก แต่ที่ตลกกว่าก็คือ ที่เอวจะไม่มีเข็มขัด แต่เป็นผ้าผูกไว้สีดำ เรียกว่า "ผ้าผูกเอวดำ" แถมยังมีที่ใส่ช้อนห้อยไว้อีกด้วย ผมนึกขำ โดยที่ไม่รู้เลยว่าในวันนี้ ผมก็ต้องแต่งตัวตลกๆแบบนี้แหละครับ
    กองร้อยของผม ( ร้อย 2 พัน 1 ) นั่นเดินไกลมากครับ ประมาณ 500 เมตรจากหอประชุมได้ แถมยังต้องเดินขึ้นไปบนเนินเขาอีก บนเนินเขานั้น มีกองร้อยของผม และอีก 1 กองร้อย คือ ร้อย 6 พัน 1 โดยที่หน้ากองร้อยจะหันหน้าชนกัน เมื่อมาถึงหน้ากองร้อย ก็มีคนเดินออกมา 3 คน หนึ่งในนั้น เป็นกระเทยครับ แต่งตัวเหมือนพวกผมแต่ว่าจะเก่ากว่านิดหน่อย ไว้ผมทรงนักเรียนเหมือนกันแต่ยาวกว่าเข้าใจได้ว่าเป็นรุ่นพี่คนนี้มารู้ชื่อทีหลังว่า ชื่อเอก ส่วนอีกสองคน แต่งตัวแบบข้าราชการ ครึ่งท่อนครับ คือใส่กางเกงขายาวสีกากี เสื้อยืดสีขาว เลยเข้าใจได้ว่าเป็นพวกจ่า หรือหมวดนั่นเอง มาถึงเขาก็แจกข้าวของเครื่องใช้ครับ โดยมี ขัน สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม มีดโกน และชุดตลกๆที่รุ่นพี่ผมใส่มาอีก 2 ชุด ชุดกีฬา อีก 2 ชุด และลูกกุญแจกับแม่กุญแจอีก 1 ชุดพร้อมสายดำๆ 1 เส้น เมื่อแจกของเสร็จ คนที่เป็นข้าราชการคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า พวกของใช้ ยกเว้นเสื้อผ้านั้นเขาไม่ได้แจกต้องจ่ายเงินครับ ( จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่ประมาณร้อยกว่าบาทนี่แหละ ) ผมเลยจ่ายให้เขาไปเรียบร้อย แต่ถ้าใครไม่มีเขาให้ติดไว้ก่อนได้ครับ จะหักจากตอนจ่ายเงินเดือน เมื่อแจกของครบแล้ว เขาก็ให้เอาของไปเก็บที่ตู้ล็อกเกอร์ของตัวเอง ตอนนั้นเขาจะบอกตัวเลข 3 ตัวโดยแบ่งเป็นหมวดๆ ครับ ผมได้เลข 109 ก็ อยู่หมวด 1 หมายเลขที่ 9 โดยล็อกเกอร์ของผมนั้นอยู่คู่กับหมายเลข 110 และข้างๆตู้ก็จะมีเตียงเป็นเตียงสองชั้นครับ ผมได้นอนข้างบน ส่วนหมายเลข 110 มันนอนข้างล่าง โดยไอหมายเลข 110 หลังจากทักทายกันก็ได้รู้ว่ามันชื่อ "ไอบอย" คนนี้เปรียบเสมือนเป็นบัดดี้กันครับ ไปไหนมาไหนแรกๆเลยไปด้วยกัน เพราะว่าไม่รู้จักใครทั้งคู่ ส่วนมากก็ไม่ค่อยมีใครรู้จักกันหรอกครับ นอกจากจะคุยกับบัดดี้ของตัวเอง
    ในบทนี้ขอจบไว้ตรงนี้ก่อนครับ ในบทต่อไปจะเริ่มเล่าถือชีวิตของผมในการเป็นทหารเรือ ที่ ร้อย.2 พัน 1 ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทที่ 1 [ใบแดง ทร.4/49 คือจุดเริ่มต้น]

    ก่อนที่ผมจะเล่าต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 49 ตอนประมาณต้นปี ในช่วงเดือน เมษายน จะเป็นช่วงที่มีการเกณฑ์ทหารกัน ปกติในปีนั้นๆผู้ที่จะเข้ารับการเกณฑ์ทหารจะมีอายุ 18 ปี (สำหรับผู้ที่จะสมัคร)  แต่ส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีอายุ 21 ปี (ผู้ที่คัดเลือกโดยการจับใบดำ-ใบแดง) แต่ผมในตอนนั้น มีอายุ 22 ปี เหตุเพราะว่าในปี 48 ผมได้ทำเรื่องผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร ที่จริงในปี 49 ตัวผมเองก็ตั้งใจจะขอผ่อนผันเหมือนกัน แต่เพราะว่าผมยื่นเรื่องกับทางมหาลัยไม่ทัน จึงจำเป็นต้องไปคัดเลือกเกณฑ์ทหาร ในปีนั้นในหมู่บ้านผมได้มีผมและเพื่อนๆรุ่นน้องไปเกณฑ์พร้อมกันทั้งหมด 3 คน ในตอนที่ทำการจับใบดำใบแดง ในอำเภอผมนั้น มีทั้งหมด 11 ตำบล ตำบลที่ผมอยู่ จับเป็นตำบลที่ 7 ถือว่าค่อนๆไปทางท้ายผมคิดว่าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นักเพราะตอนนั้นใบดำออกไปเยอะพอสมควร ในปีนั้นการรับทหารเกณฑ์ของหน่วยต่างๆถือว่าอัตราเกือบจะ 50% เลยทีเดียว อีกทั้งคนสมัครก็ยังน้อยอีก ทำให้ผมเริ่มๆใจไม่สู้ดี เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะต้องไปเป็นทหาร  เมื่อใกล้ๆจะถึงตอนที่ต้องจับใบดำ ใบแดง เพื่อนผมอีก 2 คนที่เล่าให้ฟัง มีอยู่ 1 คนเป็นญาติกัน คนนี้จับก่อนผมประมาณ 10 คนได้ ผมก็ลุ้นให้มันจับไม่ได้เหมือนกัน แต่สรุปว่า มันโดน ทบ.2 คราวนี้จิตผมยิ่งตกไปใหญ่เลย เหงื่อออกเต็มตัวไปหมด  ส่วนเพื่อนผมอีกคน เป็นเพื่อนอยู่บ้านติดๆกัน มันจับก่อนผมประมาณ 3 คนได้ แต่คนนี้จับได้ใบดำ ผมเลยใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง พอถึงตาผมจับน้าผมได้ในพระมาองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นพระอะไรผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่น้าผมบอกว่า ก่อนจะจับให้อมพระนี้ไว้ในปาก ผมก็ทำตามและล้วงมือเข้าไปในไห ในใจคิดว่าใบที่โดนมือใบแรกนั่นแหละที่ผมจะหยิบ พอหยิบมาส่งให้ทหารที่ค่อยขานว่าเราได้ใบดำหรือใบแดง ผมส่งให้เสร็จและหันหลังกลับมา หลับตาปี๋ เขายังไม่ทันให้ผมได้ลุ้นดีเลย ก็ขานขึ้นมาว่า "ทร.4" ในทีแรกที่ได้ยินผมเหมือนกับวิญญาณออกจากร่าง เหมือนตัวมันเบาๆไม่มีวิญญาณเลยทีเดียว พอนึกขึ้นได้ผมหันไปมองที่แม่ผม ในใจคิดว่าแม่จะต้องหน้าเสีย นึกเสียใจไปกับผมด้วยแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ แม่ผมยิ้มไม่เชิงยิ้มดีใจ แต่เหมือนเป็นการยิ้มตลกๆและยิ้มให้กำลังใจซะมากกว่า เมื่อผมเห็นแม่ผมยิ้มได้ ผมก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ผมแปลกใจตรงที่ว่า ทร. 4 คือทหารเรืออันนี้พอเข้าใจได้ แต่ผลัด 4 นี่มันมีด้วยเหรือ ตอนนั้นผมคิดว่าทหารเรือจะมีแค่ 2 ผลัดเหมือนกับทหารบก เพราะในผลัด 4 นี้ เขารับไม่เยอะครับ เลยถามจากทหารที่นั่นว่าผลัด 4 นี่ไปเป็นทหารตอนไหน เขาบอกว่า วันที่ 1 ก.พ. 50 โห!! รอกันอีกเ้กือบปีเลย ผมเลยได้มีเวลาทำใจ อีกหลายเดือนเลย
    หลังจากจับได้ใบแดง เหลือเวลาอีก 10 ก่อนที่ผมจะไปเป็นทหาร ผมก็ได้กลับกรุงเทพ เพื่อเรียนและทำงานต่อ (ผมเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย)  เพราะมหาลัยที่ผมเรียนไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนทุกวิชา ขอแค่ไปสอบได้ก็พอ ที่ไหนคงจะรู้กันนะครับ และผมก็ทำงานอยู่ที่ร้านอินเตอร์เน็ตไปด้วย  ส่วนมากจะใช้เล่นเกมส์ซะมากกว่า เพราะตอนนั้นติดเกมส์สุดๆ ช่วงนั้นผมกินเยอะมาก ถึงมากที่สุด เพราะในใจคิดว่า ถ้าไปเป็นทหารเกณฑ์แล้ว คงจะอดๆยากๆ อิ่มบ้าง ไม่อิ่มบ้าง ตอนนี้มีโอกาสกินกินก่อนดีกว่า ในช่วงเวลา 10 นั้น น้ำหนักผมพุ่งกระฉูด จาก 60 กก. กว่าๆ เป็น 80 กก. ( กินอะไรนักหนาหว่า? ) ตอนนั้น คิดว่า เอาน่าไปเป็นทหาร ฝึกหนักเดี๋ยวคงลดลงเหลือเท่าเดิมเองแหละ  จึงไม่ได้สนใจกับเรื่องน้ำหนัก กินจนเป็นนิสัยเรื่อยมา  จนเวลาแห่งการรอคอย 10 เดือนผ่านไป วันที่ผมต้องไปเป็นทหารเกณฑ์ก็มาถึง...
   ในบทที่ 1 ผมขอจบไว้เพียงเท่านี้ ในบทที่ 2 จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตของทหารเกณฑ์ของผม  ถ้าผู้อ่านท่านใดสนใจฟังเรื่องของผม คอมเม้นท์ให้ด้วยนะครับ ผมจะได้รู้ว่า มีคนอ่านเรื่องของผมอยู่ด้วย

บทนำ[ก่อนจะเป็นทหารเกณฑ์]

    สวัสดีครับ ก่อนจะเล่าประสบการณ์ตอนเป็นทหารเกณฑ์ ผู้เขียนขอเล่าที่มาคร่าวๆของตัวผู้เขียนก่อนนะครับ


    ตัวผมเอง ณ. ตอนนี้ได้ปลดประจำการจากการเป็นทหารเกณฑ์ มาเป็นเวลาเกือบ 1 ปีแล้ว  แรงจูงใจที่ทำให้เขียนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตตอนเป็นทหารก็คือ ได้เข้าไปอ่านในหลายๆบทความตามเว็บต่างๆของคนที่เคยได้เป็นทหารเกณฑ์เหมือนๆกันมาครับ บางคนปลดมานานแล้ว เป็นทหารบกบ้าง ทหารเรือบ้าง ทหารอากาศบ้าง เห็นบางคนเล่าประสบการณ์ประทับใจ เหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ มากมายครับ ตัวผู้เขียนเองเลยอยากจะเล่าประสบการณ์ในการณ์เป็นทหารของตัวเองบ้าง เพื่อให้คนที่ยังไม่เคยเป็นทหาร หรือกำลังจะเป็น หรือเคยผ่านๆมาแล้วเหมือนกัน ได้รับรู้ประสบการณ์ชีวิตในมุมที่ต่างกับของตัวเอง หรือมุมที่ตัวเองกำลังจะได้เป็น 
   ขอกล่าวก่อนว่าในบทความทั้งหมดที่ผมกำลังจะเขียน  เป็นเรื่องที่ไม่ได้ปรุงแต่งขึ้นแต่อย่างใด และในส่วนความคิดเห็นที่ผมจะได้สอดแทรกลงในบทความเป็นเพียงความคิดเห็นในส่วนตัวของผมผู้เดียว ไม่ใช่ความเห็นในส่วนรวมของผู้ที่เป็นทหารทั้งหมด  บางคนอาจจะมีความคิดต่างๆกันออกไป หรือว่าได้เจอประสบการณ์ที่ต่างๆกันออกไป  ดังนั้นผมขอให้คิดว่าเรื่องที่ผมเล่าเป็นเพียงเค้าโครงร่าง ของส่วนหนึ่งในชีวิตการเป็นทหารเกณฑ์เท่านั้นนะครับ
    หวังว่าบทความที่ผมกำลังจะเขียนจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการศึกษาและรับรู้เกี่ยวกับชีวิตของทหารเกณฑ์บาง ไม่มากก็น้อยนะครับ